อินเดียตอบโต้จีนด้วยการแบนแอฟ

2 สัปดาห์แล้วที่อินเดียเริ่มทำการตอบโต้จีน
จากเหตุข้อพิพากบริเวณชายแดนทางเหนือของประเทศ

โดยรัฐบาลอินเดียได้สั่งแบนแอปฟลิเคชั่นของจีนถึง 59 แอป
ตัวท็อป 1ใน 59 แอปที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็น่าจะเป็น Tiktok
ซึ่งเป็นแอปที่โดงดังและมีจำนวนยอดดาวโหลดสูงเป็นอย่างมากในช่วงเวลาที่โควิด19ระบาด

467 ล้านครั้งดาวโหลด ซึ่งสูงกว่ายอดดาวโหลดในจีนเองหลายเท่า

ByteDance บริษัทแม่ของ tiktok เปิดเผยว่า เสียรายได้ไปก็ว่า 6พันล้านดอลล่าจากการแบน tiktok ในอินเดียครั้งนี้

ไม่ใช่แค่ในอินเดียเท่านั้นที่ทำการแบน Tiktok สหรัฐและออสเตเลีย ก็แบนด้วยเช่นกัน

หลังจากการแบน Tiktok แล้วทำให้แอปเจ้าบ้านอย่าง Roposo (แอปคล้ายๆ…คล้ายมากๆๆๆๆกับ tiktok จีน) ไต่อันดับยอดดาวโหลดจาก 330 ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในทุกโหมดการดาวน์โหลด มียอดยูสเซอร์ใหม่เพิ่มขึ้น 5 แสนยูสเซอร์ต่อชั่วโมงเลยทีเดียว

อันที่จริง Roposo ก็เปิดตัวมาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่นิยมก็เท่านั้นเอง

สุดท้ายถ้าคิดว่าการแบน 59 แอปมันเยอะ ต้องไปดูโผรายชื่อแอปที่ ฝั่งทหารอินเดียแบนซิ …..89 แอปกันเลยทีเดียว ทั้งนี้พี่แกก็บอกว่าเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลทางการทหารละนะ

เนื้อเรื่อง : ฟัรฮาน กาเดร์ นักศึกษาปริญญาเอก สาขาตะวันออกกลางศึกษา มหาวิทยาลัยอาลีการ์มุสลิม อินเดีย

ทะเลสาปเปลี่ยนสีแห่ง Buldhana

ช่วงที่พักข่าว พักเรื่องราวที่ตึงเครียดหาข่าวเบาๆอ่านก็เจอกับข่าวนี้…ก็น่าสนใจไม่น้อย

เรื่องราวมีอยู่ว่า ทะเลสาบในอินเดียชื่อว่าทะเลสาบโลนา (Lonar lake) ได้เปลี่ยนสีจากสีเขียวฟ้าเหมือนๆทะเลสาบทั่วไปมาเป็นสีชมพู สร้างความตื่นเต้นและงงงวยให้กับหลายๆคน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและเกิดขึ้นได้อย่างไร ถึงแม้การเปลี่ยนสีครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านั้นก็มีรายงานการเปลี่ยนสีมาแล้ว แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะชัดเจนและเด่นชัดกว่าที่ผ่านๆมา

Lonar Lake เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่บนปากปล่องภูเขาไฟ ในเขตบุลดานา (Buldhana) รัฐมหาราษฏระ (Maharashtra) และอยู่ห่างจากมหานครมุมไบราว 500 กิโลเมตร

เป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากตกของอุกกาบาตตก และมีอายุถึง 50,000 ปี พบครั้งแรกเมื่อปี 1823
เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่ได้รับความนิยมและเป็นมรดกทางธรรมชาติของอินเดียอีกด้วย (*National Geological Heritage Monument Sites) (**อินเดียมีมรดกทางธรรมชาติทั้งหมด 34 แห่ง)

ส่วนสาเหตุของการเปลี่ยนสียังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ใจความหลักๆคือ ปริมาณน้ำที่ลดลง (และฝนตกน้อย) จนทำให้ปริมาณน้ำเค็มในน้ำเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงของสาหร่ายและจุลินทรีย์ในน้ำเนื่องจากสภาพอากาศในปัจจุบัน

ก็เป็นอีกที่ที่น่าไปนะ ว่างๆหลังโควิดแวะเวียนกันไปได้😆
หรือใครที่เคยไปแล้วมาแชร์ความรู้สึกกัน

เนื้อเรื่องโดย : ฟัรฮาน กาเดร์ นักศึกษาปริญญาเอก สาขาตะวันออกกลางศึกษา มหาวิทยาลัยอาลีการ์มุสลิม อินเดีย

อินเดียเริ่มแบนหนังที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและความเชื่อ

กระแสเรียกร้องการเซ็นเซอร์และแบนภาพยนตร์ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและความเชื่อในอินเดียดูเหมือนจะแรงขึ้น

เมื่อรัฐบาลท้องถิ่นรัฐ Maharashtra อินเดียยินยอมสั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่อง Mohammad: the Messenger of god ตามที่ องค์กร Raza academy (องค์กรมุสลิมซูฟีของอินเดีย)เรียกร้อง ทำให้ทำให้ชาวฮินดูจำนวนมากออกมาเรียกร้องให้มีการสั่งห้ามฉายภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับศาสนาและความเชื่อของชาวฮินดู

นอกเหนือจากความเชื่อและเรื่องศาสนาแล้ว หลังๆหนังอินเดียมักจะสอดแทรก ความรุนแรงทางเพศ อาชญากรรม ยาเสพติดและภาษาที่ไม่เหมาะสมร่วมอยู่มาก (การเมืองและกองทัพก็หลายเรื่องนะ)

โดยแพลตฟอร์มหลักๆที่โดนวิจารณ์ว่าไม่มีการคัดกรองภาพยนตร์ก่อนการเผยแพร่ หลักๆคือ Amazon prime, zee5 และ Netflix

กรณีของ Netflix มีมาก่อนหน้านั้นพักใหญ่แล้ว ถึงขั้นเกิดแฮชแท็ก “BanNetflixindia” กันเลย

ต้องยอมรับว่าหลังๆมานี้หลายๆเรื่องนำเสนอหนักจริงๆ ฉากการเกี๊ยวพาราณสีแบบน่ารักๆหรือแม้แต่การร้องไปเต้นไปไล่จับข้ามเขาเหมือนสมัยก่อนนั้น ตอนนี้หาฉากแบบนี้ยากแล้วละ

เนื้อเรื่องโดย : ฟัรฮาน กาเดห์ นักศึกษาปริญญาเอก สาขาตะวันออกกลางศึกษา มหาวิทยาลัยอาลีการ์มุสลิม ประเทศอินเดีย

การแบ่งแยกประเทศปากีสถานออกจากแผ่นดินอินเดียในช่วงได้รับเอกราชจากอาณานิคมอังกฤษในวันที่ 14 สิงหาคมและ15 สิงหาคม ปี 1947

ยาวาฮาลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย ได้กล่าวว่า

“การต่อสู้ที่ยาวนานของเราเริ่มจรัสแสง ความหวังและอิสรภาพของอินเดียได้ถูกแต่งแต้มและถักทอ อินเดียได้กลับมามีชีวิตและลมหายใจแห่งเสรีภาพอีกครั้งหนึ่ง
ย่ำดึกในห้วงยามที่โลกได้หลับไหล ผู้คนร่วมโลกอยู่ในช่วงพักผ่อนยามค่ำคืน ทว่า ค่ำคืนนี้ในอินเดียได้ปลุกให้ผู้คนบนแผ่นดินอินเดียตื่น ทุกคนต่างลืมตาขึ้นมาด้วยความหวังแห่งเสรีภาพ ผู้คนต่างหายใจเข้าออกมาด้วยจิตวิญญานแห่งอิสระโดยแท้”

ผู้คนมากมายต่างพากันเฉลิมฉลองเอกราชจากอาณานิคมในกรุงเดลี และสถานที่อื่นๆ ซึ่งไม่ต่างจากวันนี้ดพื่อระลึกถึง

ทว่า ในวันแห่งการเฉลิมฉลอง คานธีผู้ต่อสู้เพื่อปลดแอกจากอาณานิคมอังกฤษมาเกือบ 30 ปี กำลังเดินทางกลับไปยังเมืองกัลกัตตาเพื่อประณีประนอมการปะทะกันของชาวมุสลิมและฮินดูในอินเดียที่ค่อนข้างลุกลาม บานปลายและนองเลือด

หนำซ้ำการอพยพครั้งดังกล่าว คลื่นมหาชนเรือนล้านได้ย้ายออกจากบ้านเกิดตนเอง และแน่นอนมีผู้คนกว่า 1 ล้านคนที่ต้องสังเวยกับค่ำคืนและมรสุมแห่งการได้รับเอกราช

วันเอกราชไม่ใช่วันที่ผู้คนได้อิสรภาพ ทว่ามันคืแค่ำคืนแห่งการนองเลือด การสังเวย การสูญเสียครั้งใหญ่ที่ประวติศาสตร์ชาติอินเดียไม่เคยลืม

มีคนถามท่านมหาตมะ คานธีว่า “ท่านไม่เข้าร่วมการเฉลิมฉลองเอกราชของอินเดียเหรอ”

คานธีกลับตอบไปว่า

“ฉันไม่เห็นว่าจำเป็นต้องเฉลิมฉลอง แน่นอนในวันได้รับอิสรภาพของอินเดีย ฉันไม่เห็นอะไรเลย นอกจากสายธารแห่งหยดเลือดที่รดราดผืนดินเพื่อหยิบยื่นความเกลียดชังให้แก่กัน”

นี่แหละคือเอกราชอาบเลือดโดยแท้

ภาพ: มูฮัมหมัด อาลี ญินนะ ผู้นำปากีสถาน และมหาตมะ คานธี ผู้นำ กระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยอินเดีย ถ่าย ณ National Gandhi Museum, New Delhi, India.

เรื่องและภาพโดย
เอ.อาร์ มูเก็ม
15 สิงหาคม 2017

วันนี้เมื่อ 70 ปีที่แล้ว
เอกราชปากีสถานและอินเดีย

ศูนย์อินเดียศึกษา เครือข่ายศิษย์เก่านักเรียนไทยในประเทศอินเดีย – อาลีก้าร์

อัรดูฆอน “วิสัยทัศน์ยุคใหม่ของตุรกี”

ข้อความเนื่องด้วยวันปีใหม่ในวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีตุรกีได้กล่าวเน้นย้ำอีกครั้งว่า ประเทศตุรกีกำลังขับเคลื่อนเข้าใกล้กับอุดมคติของปี ค.ศ. 2023 ของประเทศ แม้มีปัญหาบางส่วนภายในประเทศหรือการเมืองระหว่างประเทศบ้างก็ตาม

การตื่นขึ้นมา(การพัฒนา)ของตุรกีจะไม่ถูกขัดขวางโดยโดยบรรดาผู้ที่กระทำผิดฐานกบฏ(ต่อต้าน)หรือการสนับสนุนจากนานาชาติและ เป้าหมายของพวกเราในปี ค.ศ.2023 จะบรรลุวัตถุประสงค์อย่างแน่นอน

ประธานาธิบดี รอยั๊บ ฏอยยิบ อัรดูฆอน (Recep Tayyip Erdogan) ได้กล่าวใน ข้อความเนื่องด้วยวันปีใหม่ในวันพุธที่ผ่านมา “ บางครั้งการกบฏในหมู่พวกเราหรือศัตรูจากภายนอกของพวกเรา จะแสดงความไม่พอใจจากการสร้างสิ่งใหม่ของพวกเรา ประเทศตุรกีที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำในภูมิภาคและโลก” เขาได้แถลงการณ์ทางเว็บไซต์ของประธานาธิบดีตุรกี

“เราจะไม่ให้ความสนใจกับผู้ที่กระทำการทรยศหรือจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ที่ควบคุมพวกเขา”

“เพียงพวกเราเดินไปอย่างหาญกล้าและมุ่งไปข้างหน้าอย่างตั้งใจผ่านประวัติศาสตร์ของเรา เพียงเท่านี้เราก็จะมุ่งหน้าไปยังอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีเกียรติยศและ เป็นประเทศที่มีอิทธิพลซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ชี้ขาด” เขาได้กล่าวเพิ่ม

อัรดูฆอน เคยวางเป้าหมายไว้ที แผนการเฉพาะกิจ ในตอนปลายปี 2013 ซึ่งเขากล่าวว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยประชาชนในวันที่ 10 เดือนสิงหาคมนั้นเป็นการตอบโจทย์ที่ดีที่สุดต่อการเข้าถึงความต้องการของประชาชน

เขาได้กล่าวอีกว่า ทุกคนได้เห็นแล้วว่าระบบการปกครองของตุรกีไม่สามารถแทนที่โดยวิธีการอื่นได้อีกต่อไปนอกจากวิธีลงคะแนนผ่านหีบบัตรเลือกตั้ง แผนการ การวางแผนร้าย(การกบฏ) หลุมพราง และการเริ่มก่อรัฐประหารที่ผิดศีลธรรมจะสลายและเลือนหายไปตามความปรารถนาของประชาชน

รัฐบาลตุรกีอ้างว่า ผู้สนับสนุนกระบวกการของกูเลนได้แทรกซึมสู่รัฐและพยายามโค่นล้มรัฐบาล

ในวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้เกิดการดำเนินการเพื่อต่อต้านสื่อและสถานีตำรวจใน 13 จังหวัดทั่วประเทศตุรกี เพื่อกล่าวหาว่า สถาบันเหล่านั้นเห็นพ้องกับรัฐบาลเกี่ยวกับ รัฐคู่ขนาน(parallel state) การกล่าวหาดังกล่าวของกลุ่มมองว่า สถาบันชาติอย่างกระบวนการยุติธรรมและสถาบันตำรวจอยู่ในฝั่งสนับสนุนรัฐบาล

จนทำให้ผู้ต้องสงสัยมากกว่า 20คน ถูกจับกุมซึ่งถูกกล่าวหาว่า พวกเขามีส่วนเกี่ยวพันกับนักเทศนาธรรม อย่างฟัตฮุลลอฮฺ กูเลน (Fethullah Gulen)ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อของกลุ่มเคลื่อนไหวของกูเลน หรือ อีกชื่อ คือ “ฮิสเมต”

ในเดือนธันวาคม 2013 การต่อต้านการรับสินบนได้มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่มีตำแหน่งระดับสูงหลายท่าน รวมทั้งบุตรชายของสามอดีตรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลและนักธุรกิจชั้นนำของตุรกี

รัฐบาลประณามการสอบสวนว่าเป็นแผนการหนึ่งที่สกปรก ที่สร้างโดย รัฐคู่ขนาน “parallel state.”

อัรดูฆอนยกย่องการพัฒนาเศรษฐกิจของตุรกีเป็นไปในทางบวก และได้กล่าวว่า “กระบวนการแก้ปัญหา” เพื่อยุติความขัดแย้งของตุรกีที่เรื้อรังกว่า 40 ปีซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคแรงงานชาวเคิร์ดที่เคยอยู่นอกการยอมรับของกฏหมายซึ่งกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดีในปี 2014

อัรดูฆอนได้กล่าวว่า บรรดาผู้ที่พยายามที่จะรบกวนโครงการการสร้างความเป็นภราดรภาพที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตุรกีและเพื่อนำสังคมให้กลับไปยังความขัดแย้งที่นองเลือดได้ถูกทำให้ผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง

กระบวนการแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลตุรกีพยายามของเพื่อหาช่องทางในการยุติความขัดแย้งกับพรรคแรงงานเคิร์ดิสถาน PKK ที่มีนานหลายสิบปีซึ่งปัญหาดังกล่าวได้เกี่ยวโยงกับสทธิของผู้คนมากไปกว่า 40,000 คน

ตุรกี, สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเคยลงรายชื่อพรรค แรงงานเคิร์ดิสถาน PKK เป็นองค์กรก่อการร้าย

ตุรกีจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ภัยคุกคาม หรือขู่กรรโชกใดๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับกระบวนการแก้ไข้ปัญหา บรรดาผู้ที่พึ่งพาการประท้วงบนท้องถนน ความขัดแย้ง เลือดและน้ำตาที่จะดำเนินการทางการเมืองของพวกเขา จะได้คำตอบที่ถูกต้องเหมาะสมผ่านทางประชาธิปไตยและกฎหมาย

เมื่อปลายเดือนตุลาคม ผู้ประท้วงที่สนับสนุนชาวเคิร์ดออกมาสู่ทองถนนทั่วประเทศภายใต้ข้ออ้างที่ว่า รัฐบาลตุรกีไม่ได้ทำอะไรเลยในการหยุดการเคลื่อนไหวของพวกหัวรุนแรงที่กำลังไหลเข้าสู่บริเวณชายแดนระหว่างตุรกีและซีเรียในเมืองโกบานี ซึ่งส่งผลให้ผู้คนกว่า 12 คนถูกฆ่าในขณะออกมาชุมนุม

“หนึ่งของการพัฒนาช้ำใจมากที่สุดปี 2014 แน่นอนคือการการฆ่าของเยาวชนในการโจมตีที่ร้ายกาจในวันอีดอัฎฮา
อัรดูฆอนได้กล่าวว่า ผมจำเด็กเหล่านั้นได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาซิน โบรู เด็กผู้ที่มีความกตัญญู

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม บรรดาเด็กที่ถูกฆ่า ถูกไล่ล่าและอย่างทารุณในวันที่สองของวันอีดอัฎฮา ขณะที่พวกเขาแจกจ่ายความช่วยเหลือด้านอาหารแก่ผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย

รายงานว่า ผู้โจมตีด้วยอาวุธมีดพร้าและปืน ซึ่งได้ฆ่าและทำลายศพของ ยาซิน โบรู อายุ 16 ปี ฮาคาน คอคคอซ อายุ 26 ปี ฮูซียิน ดาคาค อายุ 19 ปี และ ริยาด กูเนส อายุ 28 ปี

ที่มา http://www.aa.com.tr/en/turkey/4438 52–erdogan-new-turkey-vision-cannot-be-stopped